Welcome !!!!!

ยินดีต้อนรับสู่ Pro Sarkay Tour Issue Golf ครับ เรามีไม้กอล์ฟ Tour Issue จากหลากหลายยี่ห้อ ส่งตรงมาจาก Tour Department นะครับ พร้อมทั้งรับทำ Custom Fitting ได้ ถ้าหากท่านนักกอล์ฟท่านใดต้องการ หาไม้กอล์ฟ หรือ อุปกรณ์กอล์ฟตัวใดเป็นพิเศษ ทั้ง Tour Issue และ Retail Version และ อุปกรณ์กอล์ฟอื่นๆ อย่างลังเลที่จะติดต่อเข้ามานะครับ เราจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อตอบสนองท่านนะครับ

โปร แอ๊งค์ 0612626635

Learn Perfect Golf Swing HERE !!!!!

RotarySwing.com Golf Instruction Online

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ลูกกอล์ฟที่คุณใช้อยู่เหมาะกับคุณหรือไม่ ?


ถ้าว่ากันด้วยเรื่องของลูกกอล์ฟต้องแต่สมัยก่อนจนถึงสมัยนี้เนี่ย เราพูดกันตรงๆเลยว่า มันถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ถ้าย้อนกลับไปเมื่อตอนช่วงที่กีฬากอล์ฟเกิดขึ้น(นานกันเลยทีเดียวครับ) ในสมัยนั้นเนี่ยลูกกอลืฟนั้นเป็นเปลือกนอกทำจาก หนังฟอก และยัดใส้ในด้วย ขนห่าน และกลายมาเป็น ลูกกัตต้า "Gutta Ball" และเวลาผ่านไปลูกกอล์ก็ถูกพัฒนามาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้มีหลากหลายยี่ห้อที่ผลิตลุกกอล์ฟออกมา อาทิ เช่น Titleist, Taylormade, Srixon, Callaway แต่ละบริษัทลงทุนหลายล้านเหรียญ  เพื่อพัฒนาลูกกอล์ฟให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้เราๆได้ใช้กัน จนติดตลาด พอรุ่นใหม่ออก บริษัทลูกกอล์ฟทั้งหลายก็ต่างทำการวิจัยอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ลูกกอล์ฟรุ่นที่ใหม่กว่าและดีกว่า ส่วนใหญ่แล้วลูกกอล์ฟที่เราๆใช้กัน ส่วนใหญ่แล้วก็ดูตามความนิยมของโปรที่เล่นในทัวร์ จริงๆก็พูดกันได้ว่า ของเขาดีจริงๆ อย่าเช่น ที่นิยมกันมากก็คืด Titleist Pro V1X และ Titleist PRO V1




 ใช่ครับถูกต้องมันเป็นไปตามที่ทางบริษัทเขาโฆษณาไว้ที่กล่องแบบไม่มีผิด ที่บอกว่า

  • Exceptional distance                                 ให้ระยะทางที่เหลือเชื่อ
  • Consistent flight                                          ให้วิถีลูกที่เสถียรตลอดทาง
  • Low long game spin                                   ทำให้มีสปินในช๊อตเดินทางระยะยาวที่ต่ำ
  • Drop-And-Stop greenside control          ตก-และ-หยุด ทำหรับลูกสั้น
  • Soft feel on all shots                                   ให้ความรู้สึกนุ่มนวลกับทุกการตี
  • Excellent durability                                      มีความทนทานสูง
  • Tour-proven                                                 ถูกพิสูจน์โดยผู้เล่นในทัวร์เรียบร้อยแล้ว

และทุกวันนี้เราก็เห็นกันมากมายครับ ตั้งแต่นักกอล์ฟมือใหม่และโปรที่เล่นในทัวร์ ต่างก็นิยมใช้ลูกกอล์ฟของ Titleist Pro V1X และ Titleist PRO V1 แต่ก่อนที่จะมาเป็นลูกกอล์ฟ สองรุ่นที่นิยมกันนี้ ผมมีสถิติจากโปรกอล์ฟที่ชื่อ Zack ผู้ที่ได้ติดตามลูกกอล์ฟ Titleist มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ตั้งแต่รุ่น Tour Balata 100, Professional 90, ProV1 392, ProV1 ปี 2011 


ซึ่งสถิติดังนี้ถูกเก็บจากการตีลูกดังกล่าวแต่ละรุ่นๆละ 6 ลูก แล้วหาค่าเฉลี่ย ด้วย Driver Titleist 910 D3 9.5 องศา ก้าน Mitsubishi Diamana Ahina Flex X ซึ่งสถิติของการตีลูกแต่ละรุ่น จาก Track Man มีดังนี้

Titleist Tour Balata 100

Total Distance (ระยะทางรวม):                                                  261.1 หลา (Yards)
Carry (ระยะทางที่ลูกเดินทางในอากาศ):                                      224.7 หลา (Yards)
Clubhead Speed (ความเร็วของหัวไม้):                                     110.1 ไมล์/ชม(mph)
Ball Speed (ความเร็วของลูกกอล์ฟ):                160.7 ไมล์/ชม (mph)
Smash Factor: (ความเร็วของลูกกอล์ฟ/ความเร็วของหัวไม้):       1.46
Attack Angle (มุมเข้าปะทะบอล):                                               0.4 องศา (Degree)
Spin Loft:                                                                                  9 องศา    (Degree)
Launch Angle (มุมเหินของลูกกอล์ฟจากหน้าไม้): 6.5 องศา (Degree)
Backspin Rat (อัตราแบ๊คสปิน):                                                2,789 รอบต่อนาที (rpm)


Titleist Professional 90

Total Distance (ระยะทางรวม):                                                   262.1 หลา (Yards)
Carry (ระยะทางที่ลูกเดินทางในอากาศ):                                        251.9 หลา (Yards)
Clubhead Speed (ความเร็วของหัวไม้):                                      110.6 ไมล์/ชม(mph)
Ball Speed (ความเร็วของลูกกอล์ฟ):                                             161.4 ไมล์/ชม (mph)
Smash Factor: (ความเร็วของลูกกอล์ฟ/ความเร็วของหัวไม้):        1.45
Attack Angle (มุมเข้าปะทะบอล):                                                 1.1 องศา (Degree)
Spin Loft:                                                                                   6.9 องศา    (Degree)
Launch Angle (มุมเหินของลูกกอล์ฟจากหน้าไม้):  6.5 องศา (Degree)
Backspin Rate (อัตราแบ๊คสปิน):                                               2,915 รอบต่อนาที (rpm)


Titleist ProV1 392

Total Distance (ระยะทางรวม):                 286.4 หลา (Yards) 
Carry (ระยะทางที่ลูกเดินทางในอากาศ):                                          251.9 หลา (Yards)
Clubhead Speed (ความเร็วของหัวไม้):                                        110.1 ไมล์/ชม(mph)
Ball Speed (ความเร็วของลูกกอล์ฟ):                                               164.7 ไมล์/ชม (mph)
Smash Factor: (ความเร็วของลูกกอล์ฟ/ความเร็วของหัวไม้):  1.50
Attack Angle (มุมเข้าปะทะบอล):                                                  3.0 องศา (Degree)
Spin Loft:                                                                                    10.8 องศา    (Degree)
Launch Angle (มุมเหินของลูกกอล์ฟจากหน้าไม้):  6.5 องศา (Degree)
Backspin Rat (อัตราแบ๊คสปิน):                                                   2,739 รอบต่อนาที (rpm)




Titleist ProV1 ปี 2011

Total Distance (ระยะทางรวม):                                                       298.4 หลา (Yards)
Carry (ระยะทางที่ลูกเดินทางในอากาศ):                                            271.1 หลา (Yards)
Clubhead Speed (ความเร็วของหัวไม้):                                          110.8 ไมล์/ชม(mph)
Ball Speed (ความเร็วของลูกกอล์ฟ):                  167.2 ไมล์/ชม (mph)
Smash Factor: (ความเร็วของลูกกอล์ฟ/ความเร็วของหัวไม้):            1.51
Attack Angle (มุมเข้าปะทะบอล):                                                     3.1 องศา (Degree)
Spin Loft:                                                                                       11.7องศา    (Degree)
Launch Angle (มุมเหินของลูกกอล์ฟจากหน้าไม้):                             7.0 องศา (Degree)
Backspin Rat (อัตราแบ๊คสปิน):                                                     2,850 รอบต่อนาที (rpm)


จุดที่น่่าสนใจ
  • จากการที่ Zack ใช้ ก้าน Mitsubishi Diamana Ahina Flex X ซึ่งเป็นก้านที่จัดว่าเป็นประเภท Low Launch Low Spin (เหินต่ำ สปินน้อย)ตัวยง ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่า Driver ตัวนี้ทำให้ Zack ไม่มีปัญหาเรื่องของ Backspin อย่างแน่นอน
  • หลักๆเลย ก็คือเรื่องของช่องว่างของระยะทาง ของการใช้ลูกกอล์ฟแต่ละรุ่น ไม่แปลกใจเลยที่ระยะเพิ่มขึ้นถึง 5% จากการใช้ ProV1 392
  • ระยะขึ้นถึง 10% จาการใช้ ProV1 392 เมื่อเทียบกับ Professional 90 สังเกตุดีๆนะครับ จากการใช้ Professional 90  กับ ProV1 392 สิ่งที่แทบไม่แตกต่างกันเลยก็คือ เรื่องของ Club Head Speed  แต่ลองดูที่ Spin Loft กับ Backspin Rate ดูนะครับ เป็นธรรมชาติที่พอ Backspin น้อยลงระยะก็ต้องมากขึ้น ดังสถิติของการตีของ Zack ที่เห็นได้ชัด
  • ลูก Wound Balata ของ Tour Balata และ Professional 90 เป็นลูกที่นุ่ม ทำให้ Backspin Rate ค่อนข้างเยอะ ซึ่งมีผลต่อระยะที่หายไป
  • สิ่งที่น่าสนใจจากการทดลองครั้งนี้อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เราจะสังเกตุเห็นได้เลยว่า Smash Factor จากการตีลูก Tour Balata กับลูก Professional 90 ซึ่งในการตีลุกประเภทนี้ทำให้ค่า Smash Factor เพิ่มขึ้นยากเป็นเพราะว่า ความนุ่มของลูกกอล์ฟ 2 รุ่นนี้ที่มีมากเกินไป และ Compression (ค่าของการบีบอัดของลูกกอล์ฟ) ที่น้อยกว่ารุ่นอื่นๆที่นำมาทดลอง
  • เราจะเห็นได้ชัด และ สามารถมองได้ด้วยตาเราเองอีกด้วยว่าลูกกอล์ฟ ที่มีความนุ่มกว่า และ มีค่าของการบีบอัดของลูกกอล์ฟที่ต่ำกว่า จะมีการเลี้ยวที่ง่ายกว่าในเวลาตี และ ลักษณะบอลจะโค้งมากกว่า
  • จากการที่ผมได้นำลูกกอล์ฟไปลองชั่งน้ำหนักดูหลากหลายรุ่น ผมก็ได้ค้นพบว่า ลูก Tour Balata หนัก 43 กรัม และ ลูก Professional 90 หนัก 42 กรัม แต่ ProV1 ทั้งสองรุ่นนั้น หนัก 46 กรัม ซึ่งผมเองนั้นก็ไม่แน่ใจว่า ลูก Tour Balata  และ ลูก Professional 90 นั้นน้ำหนักสามารถหายไปได้ในระยะการใช้งานที่มากขึ้นหรือเปล่า
แต่จากการทดลองของ Zack นั้น ทำให้เราได้ค้นพบจากการเก็บข้อมูลก็คือ 
!!! เราควรจะเลือกใช้ลูกกอล์ฟที่เหมาะกับ Club Head Speed ของ เรา !!!!

Club Head Speed กับ ลูกกอล์ฟ
  • ถ้า Club Head Speed ของคุณ ช้ากว่า 95 mph ==> ควรจะใช้ลูกกอล์ฟที่มี Compression ที่ต่ำลง เช่น Titleist NXT Tour หรือที่คล้ายๆกัน
  • ถ้า Club Head Speed ของคุณอยู่ระหว่าง 95 mph - 105 mph ==>  ควรจะใช้ลูกกอล์ฟอย่าง Titleist ProV1 หรือที่คล้ายๆกัน
  • ถ้า Club Head Speed ของคุณเร็วกว่า 105 mph ==> ควรจะใช้ลูกกอล์ฟอย่าง Titleist ProV1X หรือที่คล้ายๆกัน
ข้อมูลเรื่องลูกกอล์ฟเหล่านี้ เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ และ มีผลกับการเล่นของคุณมากๆเลยนะครับ เพราะถ้าคุณใช้ลูกกอล์ฟที่ไม่ เหมาะกับคุณ คุณก็อาจจะตีตรง แต่ไม่ได้ระยะ หรือ คุณอาจจะตีได้ระยะแต่ควบคุมไม่ได้ ก็เป็นได้นะครับ





วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เรื่องของก้านไม้กอล์ฟ



ทุกวันนี้ในเรื่องของการเล่นกอลืฟนั้น ความสำคัญของ Swing  ที่ดีนั้น 60% แต่ความเหมาะสมและอุปกรณที่ท่านใช้นั้น 40% และ ใน 40% นี้สามารถสร้างความแตกต่างได้ ระหว่า Bogey และ Birdie เลยครับ

ในเรื่องของก้านไม้กอล์ฟนะครับ หลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินมาว่า ก้านไม้กอล์ฟนั้นมี หลากหลายแบบ ยี่ห้อ และ ความแข็งที่แตกต่างกันไป แต่บางท่านอาจจะเลือกก้านไม้กอล์ฟที่เหมาะกับเราหรือไม่นั้น เราก็เลือกเอาตามความชอบ แต่ถ้าท่านอยากให้เกมส์กอล์ฟของท่านนั้นมีประสิทธิภาพ พร้อมกับรักษาสุขภาพกาย โดยไม่ให้บาดเจ็บ ทั้งทางกายและใจ ท่านควรจะเลือกใช้ก้านที่เหมาะสมกับท่านครับ
ก่อนอื่นเลย เราต้องเข้าใจคำว่า Flex ของก้านไม้กอล์ฟ ความหมายของคำๆนี้ก็คือ ความสามารถในการงอในขณะที่มีแรงจากการสวิงไม้ ซึ่งบางท่านอาจจะสวิงแรงหรือ บางท่านอาจจะมีสวิงที่นุ่มนวลชวนชมก็เป็นได้ หลักๆแล้ว Flex ของไม้กอล์ฟในท้องตลาดนั้นถูกแบ่งออกดังนี้
Extra Stiff(X), Stiff(S), Regular(R), Senior(A), Ladies(L)
แต่ในบางครั้งตามท้องตลาด เราอาจจะเจอก้านที่อยู่ก่ำกึ่งกันและกัน เช่น ก้าน SR หรือนักกอล์ฟวัยเก๋าอาจจะเรียกว่าก้าน Firm, TS คือ Tour Stiff คือก้านที่อยู่ระหว่าง X กับ S เป็นต้น 
KBS TOUR C-TAPER (S+) เป็น ก้าน Tour Stiff


อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจผิดในการเลือกใช้ก้าน?
สิ่งที่ทำให้ท่านนักกอล์ฟหลายๆท่านเข้าใจผิดในเรื่องของก้านไม้กอล์ฟ คือ ท่านนักกอล์ฟ "รู้สึก" และ "คิดว่า" ความเร็วของหัวไม้เวลาเข้าปะทะบอล (Club Head Speed)  น่าจะใช้ Flex ประมาณเท่านั้นเท่านี้ น้ำหนักประมาณเท่านั้นเท่านี้ ยกตัวอย่างเช่น ก้าน Fujikura ที่เป็น ก้าน Flex S ซึ่งบางตัว อาจจะทำให้เกิด วิถีลูก (Ball Flight) โด่ง บางตัว จะทำให้เกิด Ball Flight ที่ต่ำ ทั้งๆที่ ก้านทั้งหมดนั้น เป็นก้าน Flex S เหมือนกัน ดังนั้น  Club Head Speed เป็นเพียงแค่ "ส่วนหนึ่ง" ของข้อมูลที่เราจะนำมาใช้ในการเลือกก้านเท่านั้น นี่คือสาเหตุที่การที่ท่านจะได้ก้านที่เหมาะสมกับตัวท่านได้นั้น จึงจำเป็นต้อง ทำ Shaft Fitting

แล้วทำไมต้องทำ Shaft Fitting ทำไมถึงซื้อ ไม้ที่มีก้าน OEM ติดมาจากห้างมาใช้เลยไม่ได้ล่ะ?
หลักๆเลยก็คือ นักกอล์ฟทุกประเภทสามารถเลือกก้านที่เหมาะสมกับท่านจากการทำ Shaft Fitting เนื่องจากสามารถ หาก้านที่ให้ผลลัพธ์ของการตีที่ดีแบบพอใจได้ การทำ Shaft Fitting ทำให้ท่านรู้ว่่า ก้านตัวไหน ให้ Back Spin ที่ไม่มากเกินไปจนทำให้การตีของท่านเสีย ทิศทาง และ ระยะ อีกทั้งยังทำให้ท่านได้รู้อีกด้วยว่า ก้านตัวไหน ให้ มุมเหิน Launch Angle ที่ เหมาะสมกับ Swing Speed ของท่านได้ที่สุด ที่ ไม่สร้างมุมที่ โด่งจนเกินไป และ ไม่ต่ำจนเกินไป และ  ท่านจะสามารถรู้ได้ด้วยว่าท่านสามารถ load ก้านได้พอดีกับ รุ่นไหน Flex อะไร และ น้ำหนักเท่าไร สำคัญที่สุด ไม่มี โปรใน Tour คนไหนใช้ก้านที่ซื้อมาจากห้างหรือ ก้านที่ติดมากับไม้ OEM เพราะเขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันเหมาะกับเขาหรือเปล่า

ก้าน OEM Titleist Diamana BlueBoard


ถ้าก้านที่ใช้อยู่แข็งไป จะมีผลกระทบอย่างไร?
สิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อก้านที่ใช้อยู่นั้น แข็งเกินไป ก็คือ จะทำให้ลูกกอล์ฟเดินทางได้ระยะที่สั้นลง และ วิถีลูกจะต่ำลง ไม่ว่าหัวไม้ของท่านจะมีองศาเท่าไรก็ตาม และ ลูกจะหลุดออกไปทางขวาแบบ Push หรือไปในแนว Fade สำหรับท่านที่ถนัดขวา เนื่องจากก้านที่ใช้นั้นแข็งเกินไป เลยทำให้หน้่าไม้นั้นเข้ามุม Square ไม่ทัน อีกทั้งการตีแต่ละครั้งจะรู้สึกไม่หนักแน่น (Solid) ถึงแม้ว่าท่านจะตีโดนเต็มหน้าไม้ก็ตาม ความรู้สึกก็จะเหมือนกับตีโดนไม่เต็มหน้าไม้ ก้านที่แข็งเกินไปนี้เลยทำให้ท่านนักกอล์ฟ Load ก้านไม่ทันนั่นเอง 


ถ้าก้านที่ใช้อยู่อ่อนไป จะมีผลกระทบอย่างไร?
สิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อก้านที่ใช้อยู่นั้น ไม่แข็งพอ หรือ อ่อนเกินไป ก็คือ จะทำให้ลูกกอล์ฟเดินทางได้ระยะที่ไกล และ วิถีลูกจะโด่งลง แต่จะเสียการควบคุมง่ายมาก ไม่ว่าหัวไม้ของท่านจะมีองศาเท่าไรก็ตาม และ ลูกจะหลุดออกไปทางซ้ายแบบ Pull หรือไปในแนว Draw สำหรับท่านที่ถนัดขวา เนื่องจากก้านที่ใช้นั้นอ่อนเกินไป เลยทำให้หน้่าไม้นั้นเข้ามุม Square ที่เร็วเกินไป และหน้าไม้จะปิดเมื่อเข้าบอล อีกทั้งการตีแต่ละครั้งจะรู้สึกหนักแน่น (Solid) ถึงแม้ว่าท่านจะตีโดนไม่เต็มหน้าไม้ก็ตาม ก้านที่อ่อนเกินไปนี้เลยทำให้ท่านนักกอล์ฟ Over Load ก้านไม่ทันนั่นเอง 

เวลาทำ Shaft Fitting ใช้อะไรเป็นตัววัดและเก็บข้อมูล?
Trackman หรือ FlightScope 






 FlightScope เป็นเรดาร์จับการตีของลูกกอล์ฟ 3 มิติ ที่สามารถวัดและเก็บข้อมูลจากการตีลูกกอลืฟในแต่ละครั้ง ข้อมูลที่ท่านสามารถรู้ได้จากการตีที่จะได้นั้นประกอบไปด้วย

  • Ball Speed (ความเร็วของลูกกอล์ฟ)
  • Vertical Launch Angle (มุมเหินของลูกกอล์ฟแนวตั้ง)
  • Horizontal Launch Angle (มุมเหินของลูกกอล์ฟแนวนอน)
  • Sidespin
  • Backspin
  • Club Head Speed (ความเร็วของหัวไม้)
  • Club Vertical Attack Angle (มุมปะทะบอลในแนวตั้ง)
  • Club Horizontal Attack Angle (มุมปะทะบอลในแนวนอน)
  • Club Face Angle (มุมหน้าไม้)
  • Ball Trajectory (วิถีบอล)
ข้อมูลเหล่านี้ เพียงพอที่จะทำให้ท่านหาก้านที่เหมาะสมกับท่าน และ ยังสามารถบอกได้อีกว่า การตีของท่านนั้นจุดสำคัญที่ต้องปรับปรุงคืออะไร




























วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

R11 Driver แท้ VS R11 Driver ปลอม

    ณ เวลานี้ ถ้าพูดถึงกระแส Driver ที่มาแรงที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น Driver R11 เนื่องจากเป็น นวัตกรรมของ Driver จากค่าย Taylormade Golf ตัวแรกของโลกที่สามารถปรับไม้ตามลักษณะการเล่นของนักกอล์ฟที่มีการตีบอลที่แตกต่างกันออกไป บางท่านก็อาจจะอยากได้มาก แม้กระทั่งว่ามีคนมาขายราคาถูกๆ สภาพสวยๆก็ไม่ลังเลที่จะควักเงินซื้อมา แต่ผมอยากจะให้ท่านระวังนะครับ!!!! เนื่องจากตอนนี้ในตลาดกอล์ฟนั้นมีพวกมือดีที่ชอบหลอกลวงชาวบ้าน เอา R11 ปลอม มาขายในตลาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การค้าขายไม้กอล์ฟบนอินเตอร์เน็ต ดูไม่น่าไว้ใจมากยิ่งขึ้นไปอีก

ข้อแตกต่างของ R11 Driver แท้ กับ R11 Driver ปลอมมีดังนี้ครับ (มีรูปด้านล่างครับ)

1) ให้สังเกตุสีแดง ที่ตัวอักษร "R11" มันจะแดงแบบแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
     ถ้าเป็นของปลอม สีจะออกแดงสว่างๆ แต่ของแท้จะเป็นสีแดงเลือดหมู 

2) ที่ตัวเลขบอกองศาหน้าไม้ ของปลอมจะเป็นสีเทาสว่างๆ  แต่ของแท้จะเป็นสีเทาเข้มๆ

3) ของปลอมจะไม่มี serial number ระบุที่คอม้ใกล้ๆ กับตัวเลขบ่งบอกองศาหน้าไม้

4) ตรงขอบสีดำ ของปลอมจะเป็นแนวโค้ง ของแท้จะเป็นมุมเหลี่ยมๆเแหลมๆ

5) ที่คอไม้ตรงตัวปรับ องศาหน้าไม้ ของแท้ ferrule จะแกะออกมาได้  และข้างในจะเป็นสีเทา และของปลอมจะเป็น ferrule มาทั้งชิ้นแยกไม่ได้ที่เป็น Titanium 

6) ถ้าหาก ถอด ASP สีแดงๆที่ใช้ปรับมุมหน้าไม้ (Face Angle) ออกมาจะเห็นเกลียวด้านใน ซึ่งของแท้นั้น      เกลียวจะต้องเป็นสีดำ แต่ของปลอมจะเป็นเกลียวโลหะสีเทา ซึ่งสามารเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนในจุดนี้

7) ที่กลางหน้าไม้ Groove ที่กลางหน้่าไม้ของปลอม จะเป็นเส้นสีขาว แต่ ในขณะที่ของแท้ Groove จะเป็นสีดำตามหน้าไม้






Tour Issue Golf Clubs VS Retail Golf Clubs


วันนี้มาแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับไม้ที่เราๆใช้กัน กับ ไม้ที่ Tour Pro ใช้นั้นไม่เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว ต่างกันแบบสุดๆครับ  เพราะไม้ที่โปรใช้นั้นเป็น ไม้ที่เรียกว่า Tour Issue Golf Club ส่วนไม้ที่เราใช้และโดน marketing โน้มน้าวให้ซื้อตามห้างนั้น เรียกว่า Retail Version Golf Club
มันต่างกันยังไง วันนี้ขอเอาความรู้ที่ศึกษาและทดลองใช้มาเป็นหลายร้อยไม้มาแบ่งปันกันนะครับ



TOUR ISSUE ไม่เหมือนกับ Tour Preferred (TP) นะครับ !!!!!!!!!!


What is Tour Issue Golf Club?
(Tour Issue Golf Club คืออะไร?) 

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าไม้ Tour Issue คือ ไม้ที่ Sponsor Brand ดังๆหลากหลายยี่ห้อ เช่น Titleist, Taylormade, Callaway, Ping ฯลฯ ทำไว้ไห้ โปร ใน USPGA Tour, European Tour, Nationwide Tour, Asian Tour และ Tour ใหญ่ๆทั้งหลาย ใช้ในการแข่งขัน โดยไม้ Tour Issue จะมาจาก Tour Van ที่อยู่ในการแข่งขันใหญ่ๆใน PGA Tour ดังรูปด้านล่าง





เรื่องของคุณภาพนั้น แต่ละหัวผ่านการ QC มาอย่างละเอียด ใบเหล็ก และ หัวไม้ Tour Issue ต่างกับที่วางขายในท้องตลาด แบบ สุดๆครับครับ รับประกันได้เลยว่า ไกลกว่า เสียงเพราะกว่า ฟิลลิ่งที่ดีและนุ่มกว่าเวลาเข้าบอล ตีง่ายกว่า และ ตีมันกว่า หน้าไม้จะไม่แข็งเหมือนใบเหล็ก และ หัวไม้ ที่วางขายอยู่ตามท้องตลาด ต่อให้ในตลากจะบอกว่า Tour ก็ตาม ไม้ Tour Issue ส่วนใหญ่ หน้าไม้ (Face Angle) จะเปิดกว่า ไม้ที่ขายอยู่ตามท้องตลาดทั่วไป และ องศาหน้าไม้ที่เขียนกำกับไว้ที่หัวนั้น อาจจะไม่ใช่องศาหน้าไม้ที่แท้จริง ยกตัวอย่างเช่น หัว Driver R11 TP Retail Version 9° องศา กับ R11 TP Tour Issue 9° องศา R11 Tour Issued จะมี Serial No. เป็น TXXXXX 
แต่ของ Retail Version จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษรหรือตัวเลขอะไรก็ได้ที่ ไม่ใช่ TXXXXX R11 TP Tour Issue head Head Size: 420 CC Loft : 9.6° Actual Loft Lie : 58.5° Face Angle: 1.5° Degree Open at Nuetral R11 TP Retail head Head Size: 440 CC Loft : 10.6 Actual Loft Lie : 57° Face Angle: 0.5 Degree Open at Neutral และอีกจุดหนึ่งที่สังเกตได้ง่ายสุดก็คือ การลงสีที่คอ R11 TP Retail จะ Paint ขอบเต็ม แต่ R11 TP Tour Issue จะเป็น Paint Break ที่คอดังรูปด้านล่าง อันนี้ คือ R11 TP Tour Issue Version 1. 


NOTE: R11 TP Tour Issue Version 2 จะไม่มี Paint Break


R11 TP Tour Issue Driver Version 1(สังเกต Paint Break ที่คอไม้)
Version 2 จะไม่มี Paint Break



Driver Tour Issue นั้นต้องผ่านกระบวนการที่เรียกว่า COR Test หรือ พูดง่ายๆก็คือ การทดสอบความเด้งของหน้าไม้ เพื่อให้แน่ใจว่าความเด้งของหน้าไม้นั้น ไม่เกิน 0.83 ซึ่งเป็น ความเด้งที่กฏกอล์ฟได้กำหนดไว้ให้ Tour Pro ใช้ในการแข่งขัน (สามารถดูความแตกต่างได้จากรูปด้านล่าง)
เนื่องจากคุณภาพที่ดีขั้นเทพแบบนี้ และ หายากเพราะทำมาให้ Tour Pro ใช้จึงทำให้ ไม้ Tour Issue นั้นมีราคาค่อนข้างสูง






Tour Issue Golf Club มันดีกว่ายังไงน่ะเหรอ?

TaylorMade Tour Issue แตกต่างจาก TaylorMade Retail ตรงไหน จุดแรกที่สังเก็ตได้ง่ายก็คือ Serial No. ที่ขึ้นต้นด้วยตัว Txxxxx ซึ่งผลิตขึ้นมาให้โปรใช้ในการแข่งขัน น้ำหนักหัวของ Tour Issue จะมีน้ำหนักหัวที่เบากว่าตัว Retail จึงต้องมีการทำ Hotmelt เพื่อที่จะทำการเพิ่มน้ำหนักหัวให้ได้ตามความต้องการของโปรในแต่ละคน Tour และ Lie Angle ก็แตกต่างจากตัว Retail อีกเช่นเดียวกัน

หัว Driver Tour Issue บางตัวอาจ มี สติกเกอร์ บอก Spec ของหัว ตัวอย่างเช่น Superfast 2.0 TP Tour Issue Txxxxx ดังรูปด้านล่าง
ในสติกเกอร์จะบ่งบอกข้อมูล เช่น องศาหน้าไม้ที่แท้จริง (Actual Loft) , Lie, (มุมหน้าไม้)Face Angle, น้ำหนักหัว (Head Weight)
ขนาดหัว ของ Superfast 2.0 TP Tour Issue Txxxxx นี้จะเป็น Paint Break เช่นเดียวกับ R11 TP Tour Issue และที่กลางหน้าไม้จะมี DOT สีขาวๆดังรูปด้านล่าง เพื่อเป็นการบ่งบอกว่า ได้ผ่านการทำ COR Test มาเรียบร้อยแล้ว















เอกสารที่มาจากโรงหล่อหัวไม้ที่บอก Spec ของ หัวทุกหัว ก่อนที่ Tour Department จะเอาไปทำ COR Testing, Hotmetly, และ หา Sweet Spot



กรรมวิธีของการทำ Hotmelt นั้นเป็นอย่างไร?











Hotmelt คือ อะไร?


Hotmelt คือ กาวร้อนที่ใช้เพื่อเพิ่มน้ำหนักหัว Driver, Fairway, และ Hybrid เพื่อเพิ่ม SwingWeight แต่ง 
Ball Flight เปลี่ยนเสียง impact ลูกที่ไม่พึงประสงค์ อาจจะเป็นเสีบงที่ ทึบเกินไป หรือ ใสเกินไป ซึ่งสามารถสร้างความรู้สึกในรูป แบบ Solid เหมือนเวลา impact ลูกแล้วจะรู้สึกเหมือนดูดลูกกอล์ฟ และ กระเด็นออกไป หรือ อาจจะเป็น เสียงใส ตีแล้วเหมือนกระเด็น ออกไป เวลาลูกโดนหน้าไม้แล้วมันจะเหมือนกระจายๆ หน่อย
โดยปกติแล้ว Tour Van จะ stock หัว Driver, Fairway, และ Hybrid ที่เบากว่าหัว Standard ทั่วไปที่ขายตามท้องตลาด เพื่อที่จะได้ทำการ Hotmelt  เพื่อแต่ง Ball flight เช่น Draw Biased , Neutral Biased, และ Fade Biased


ส่วนใหญ่แล้วโปรในทัวร์นั้นจะใช้ Driver ที่มีความยาวที่สั้นกว่าไม้ที่ขายตามท้องตลาด เลยต้องใช้ Hotmelt เพื่อแต่ง Swingweight และ Ball Flight เหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้เพราะว่า ในทุกๆ 1/2 นิ้วที่ก้านไม้โดนตัดให้สั้นลงจะเสีย Swingweight ไป 3 จุด และการที่จะชดเชย  Swingweight 3 จุดที่หายไปได้นั้นสามารถทำได้โดยการยิงกาว Hotmelt เข้าไปในหัวได้ ก็จะทำให้ Swingweight กลับมาเท่าเดิม จึงทำให้ Tour Pro สามารถใช้ไม้ที่สั้นลงที่มี Swingweight เท่าเดิม ที่ได้ระยะที่เท่าเดิม หรือ มากกว่า และการควบคุมที่ดีกว่า ยกตัวอย่างเช่น Driver ที่มี Swingweight D2 และมีความยาว 45 นิ้ว ถ้าความยาวถูกตัดลงให้เหลือ 44  1/2 นิ้ว Swingweight จะลดลงเหลือ D0 ทันที แต่การทีทำ hotmelt โดยการยิงกาวร้อนเข้าไป 6 กรัม จะทำให้นักกอล์ฟ สามารถได้ Swingweight เท่าเดิมที่ D2 และจะได้ความรู้สึกที่ดี และ ความสมดุลที่ดี เนื่องจากว่าในหลายๆครั้ง Driver ที่สั้นลง จะทำให้เกิดความแม่นยำในการตีที่ดีขึ้น เพราะเนื่องจากว่าลูกจะหลุดออกไปนอกทิศทางได้ยากขึ้น และถ้าความสมดุลจากการตัดก้านไม่สูญเสียไป จะทำให้ไม่มีการเสียระยะเลย และ ความสมดุลนี้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มา จากการทำ hotmelt


จากที่ได้กล่าวไว้ในข้งต้น ว่า การทำ hotmelt นั้นสามารถ ปรับเปลี่ยนหรือแต่ง Ball Flight ให้เป็น Draw Biased (ทำให้ตี Draw ง่ายขึ้น), Neutral Biased (ทำให้ลดเสียงและความรู้สึกอันไม่พึงประสงค์ และ ทำให้ตีตรงขึ้น), และ Fade Biased (ทำให้ตี Fade ง่ายขึ้น)  แต่ทั้งนี้นั้นจะมากจะน้อยแค่ไหนก็จะขึ้นอยู่กับปริมาณกาวที่ใช้ยิงเข้าไป


 ถ้าหากว่าทำการยิงกาวไว้ในด้านในของหน้าไม้ จะช่วยในการลดเสียงอันไม่พึงประสงค์ ทำให้ได้ Ball Flight ที่ต่ำลงในรูปแบบที่เรียกว่า Low Boring Trajectory คือ ลูกจะพุ่งไปต่ำๆแบบที่ไม่ต่ำจนเกินไป แต่ที่พิเศษกว่า ก็คือ จะลอบไปเรื่อยๆๆ เนื่องจากว่า Center of Gravity(COG) จุดศูนย์ถ่วงจะอยู่ในตำแหน่งที่ สูงขึ้น และ สามารถลดอัตรา Backspin ลงได้ถึง 400-600 rpm จึงทำให้ได้ระยะที่ไกลขึ้นและตกวิ่งมากกว่าเดิม
Picture Reference: http://www.clubmate-golf.com.au




ถ้าหากว่าทำการยิงกาวไว้ทางด้านหลังของด้านในของหัว จะทำให้ได้ Ball Flight ที่โด่งขึ้น และ Backspin ที่มากขึ้นเล็กน้อย และ จะได้เสียง impact ที่ดังและแน่นขึ้น


ถ้าหากว่าทำการยิงกาวไว้ทางปลายด้านในของหัว (Toe) จะทำให้ได้ Ball Flight ในรุปแบบที่เรียกว่า Fade Biased ทีทำให้เกิดการตีเฟดได้ง่ายขึ้น ที่ไม่ทำให้เสียระยะ และ ไม่เลี้ยวจนเกินไป


Picture Reference: http://www.clubmate-golf.com.au
ในทางกลับกัน ถ้าหากว่าทำการยิงกาวไว้ทางโคนด้านในของหัว (Heel)  จะทำให้ได้ Ball Flight ในรุปแบบที่เรียกว่า Draw Biased ทีทำให้เกิดการตีดอร์วได้ง่ายขึ้น ได้ระยะเพิ่มขึ้นไปอีก และ ไม่เลี้ยวจนเกินไป






ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าหัวแต่ละหัวจะถูกทำการ ยิงกาวในรุปแบบไหน เพื่อให้เหมาะกับโปรคนใด และขั้นตอนทั้งหมดนี้จะทำในTour Van ทั้งสิ้น




แล้วทำไม Tour Issue Golf Club มันถึงแพง?

ไม่มีขายตามท้องตลาด และ เป็นไม้ที่เรียกได้เลยว่า เกรดดีกว่ามากๆ เนื่องจากว่าไม้ Tour Issue นั้นใช้วัสดุที่ดีกว่าตัว Retail ซึ่งเป็น ไทเทเนียม ที่แช็งแรงและทนทานกว่า และ ไทเทเนียมนี้จะหนากว่าโลหะที่ใช้ทำไม้ Retail เพียงเล็กน้อย เหตุผลก็เพราะว่า ไม้ Tour Issue นั้นสร้างมาเพื่อให้ โปรในทัวร์ใช้ ซึ่งโดยปกติแล้วโปรในทัวร์จะมีการซ้อมตีลูกกอลืฟที่หนัก และ เยอะกว่า นักกอล์ฟทั่วๆไป และไม้ Tour Issue สามารถรองรับการตีลูกกอล์ฟเป็น พันๆลูกได้ ซึ่งสามารถรองรับการตีได้มากกว่าไม้ Retail ที่ไม่สามารถรองรับการใช้งานได้มากขนาดนั้น ในเรื่องของความรู้สึกเวลา imapct นั้นต่างอย่างเทียบไม่ได้เลยจริงๆครับ



แล้วทำไมทางบริษัท ไม่ทำของดีๆแบบนี้มาให้พวกเราใช้กันบ้างล่ะ?


ทางผู้เชี่ยวชาญหัวไม้เทเลอร์เมดได้บอกไว้ว่า ทุกหัวเมื่อนำมาเช็คว่าหน้าไม้สแควร์จริงหรือไม่นั้น ก็ปรากฏกว่าเป็นหน้าไม้ปิด 1 องศา ถึงแม้ว่าทางโรงงานจะบอกว่าหน้าไม้สแควร์ก็ตาม นั่นเป็นเพราะมีน้อยมากที่จะมีนักกอล์ฟฝีมือดีที่จะตีได้ตามความสามารถ ตลาดส่วนใหญ่ก็เป็นนักกอล์ฟมือกลางๆ ถึงมือใหม่ที่มีอีโก้ค่อนข้างเยอะ ผมต้องตีหน้าไม้เปิด หน้าไม้ปิดตีไม่ได้ อย่างโน้นอย่างนี้ ทางผู้ผลิตก็ใช้วิธีการแบบนี้เพื่อตอบสนองอีโก้ของนักกอล์ฟส่วนใหญ่ แต่ส่วนใหญ่แล้วเกินกว่าครึ่งของนักกอล์ฟทั้วโลกนั้น ปัญหาหลัก ก็คือ การตี Slice Taylormade จึงตอบสนองตลาดด้วยการทำหน้าไม้ที่ปิด ถึง 1-2 องศาออกมา แต่ส่วนที่เป็น TP ปิด 0.5 องศา, สแควร์ หรือ เปิด 0.5 องศา  เพื่อตอบสนองตลาดกลุ่มที่เล็กกว่า และอย่างที่ได้กล่าวไปว่า Tour Issue นั้นสร้างมาเพื่อให้ โปรในทัวร์ใช้ ซึ่งโดยปกติแล้วโปรในทัวร์จะมีการซ้อมตีลูกกอล์ฟที่หนัก และ เยอะกว่า ซึ่งในตลาดไม้กอล์ฟนั้น ถือว่า มีคนในจำนวนนี้ค่อนข้างน้อย นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไม เขาถึงทำมาให้แค่โปรในทัวร์ใช้เท่านั้น





TXXXXX Serial ที่บ่งบอกว่า เป็น Taylormade Tour Issue Head




เพิ่มเติมเกี่ยวกับ R11 TP Tour Issue:


R11 TP  Driver ในท้องตลาดทั่วไป จะมีองศาหน้าไม้ให้เลือกแค่: 9*, 10.5*
R11 TP Tour Issue Driver จะมีองศาหน้าไม้ตั้งแต่: 8*, 9*, 10.5*




R11 TP Fairway Woods  ในท้องตลาดทั่วไป จะมีองศาหน้าไม้ให้เลือกแค่: T3=14*, 3 = 15*, 4 = 17*, 5 = 19*, 7 = 22*


R11 TP Tour Issue Fairway Woods จะมีองศาหน้าไม้ตั้งแต่: T2 = 13*, T3=14*, 3 = 15*, 4 = 17*, 5 = 19*, 7 = 22*




RBZ Prototype Tour Issue Txxxxx 9.5*


ตัวนี้เป็น Driver ตัวใหม่ที่ออกมาใน ปี 2012 ลักษณะของตัวนี้ที่เป็น Tour Issur RBZ นั้น ผมลองแล้วพูดได้คำเดียวว่า ที่ทาง Taylormade โฆษณาไว้ว่า "Insane Distance Gain" หรือ ที่เราอาจจะเรียกกันว่า "ไกลขึ้นแบบงงๆ ไกลแบบบ้าระห่ำ" อันนี้เรื่องจริงครับ ผมได้ลองตีเปรียบเทียบกันตัว Prototype ที่เป็น Retail Version แล้วผมบอกได้เลยว่า RBZ Tour Issue Prototype นั้น Solid กว่าเยอะ เป็นยังไงเหรอครับ? ความรู้สึกเวลา Impact มันจะหนักแน่นมาก เหมือนกับว่า มันจับกันเป็นลูกๆอยู่กลางหน้าไม้ สามารถรู้สึกถึงลูกกอล์ฟได้แบบทั้งลูก ทั้งเวลาที่ตีโดนเต็มหน้าไม้ และ เวลาที่ Miss Hit !!! หรือตีโดนเต็มหน้าไม้ครับ

ตัวนี้เป็นตัวที่พัฒนามาจาก Superfast TP 2.0 สามาถเพิ่มระยะให้ไกลขึ้นได้ถึง 17-21 หลา !!!!









วันนี้เอาความรู้ส่วนหนึ่งมาแบ่งปันกันก่อน ถ้าใครมีคำถามอะไร post ถามเลยนะคับ